การเข้าใจประเภทของไฟต่าง ๆ ในบ้านหรือสถานที่ทำงานมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันอุบัติเหตุ และลดความเสี่ยงในการเกิดไฟลาม การเลือกใช้ไฟที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดพลังงาน แต่ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับทุกคนในครอบครัวหรืออาคารต่าง ๆ ได้อีกด้วย ในบทความนี้ AEG จะพาคุณมาดู 5 ประเภทของไฟที่ควรรู้ พร้อมวิธีลดความเสี่ยงเลี่ยงไฟลาม
ไฟไหม้เกิดจากการรวมตัวของเชื้อเพลิงสามองค์ประกอบหลักที่เรียกว่า “ทฤษฎีการเกิดไฟ” (Fire Triangle) ซึ่งประกอบด้วย เชื้อเพลิง ออกซิเจน และความร้อน
เชื้อเพลิงคือองค์ประกอบแรกที่ทำให้เกิดไฟไหม้ วัสดุที่สามารถติดไฟได้ เช่น ไม้ กระดาษ ผ้า หรือของเหลวไวไฟ การมีเชื้อเพลิงในบริเวณที่ใกล้แหล่งความร้อนสามารถทำให้เกิดไฟไหม้ได้ ในส่วนกรณีของหลอดไฟการใช้วัสดุที่ผลิตจากวัตถุที่ไวไฟจะเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ได้
ออกซิเจนเป็นองค์ประกอบที่เข้าไปกระตุ้นให้ไฟไหม้เกิดขึ้น ในอากาศปกติจะมีออกซิเจนประมาณ 21% ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เชื้อเพลิงติดไฟได้ ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดไฟไหม้รอบตัวเราย่อมเกิดได้เสมอ
และปัจจัยสุดท้ายความร้อนเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เชื้อเพลิงถึงจุดติดไฟ เมื่อความร้อนเพียงพอ เชื้อเพลิงจะเริ่มติดไฟและเกิดการเผาไหม้นั่นเอง
ประเภทของไฟสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวัสดุที่ติดไฟและวิธีดับเพลิงไฟแต่ละแบบ โดยกำหนดเป็น 5 ประเภทหลักตามสัญลักษณ์ A B C D K ดังนี้
ไฟ CLASS A เป็นประเภทของไฟที่เกิดจากวัสดุที่ติดไฟง่ายและเป็นของแข็งที่เรามักพบในชีวิตประจำวัน อาทิ ไม้ กระดาษ ผ้า และพลาสติก โดยการดับไฟประเภท CLASS A สามารถดับเพลิงได้ด้วย น้ำ ถังดับเพลิงเคมีแห้ง และถังดับเพลิงโฟม
ไฟ CLASS B คือประเภทไฟที่เกิดจากของเหลวไวไฟ เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล แอลกอฮอล์ ไขมัน ซึ่งมักเกิดในห้องครัวหรือโรงงานที่ใช้สารเคมี วิธีดับไฟ CLASS B ที่ถูกต้องให้ใช้ ถังดับเพลิงเคมีแห้ง ABC ถังดับเพลิงคาร์บอนไดออกไซด์ และโฟมดับเพลิง
ไฟ CLASS C เป็นประเภทของไฟที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน เช่น เตารีด เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ สายไฟฟ้าภายในบ้าน แผงวงจรไฟฟ้า การดับไฟ CLASS C ต้องใช้วิธีดับเพลิงที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า เช่น ถังดับเพลิงเคมีแห้ง ถังดับเพลิงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
ไฟ CLASS D คือประเภทของไฟที่เกิดจากโลหะที่ไวไฟ ซึ่งโลหะเหล่านี้มีคุณสมบัติติดไฟได้ง่ายและมีความรุนแรงเมื่อเกิดไฟไหม้ ตัวอย่างของโลหะที่สามารถติดไฟได้ ได้แก่ แมกนีเซียม โซเดียม ไทเทเนียม เป็นต้น การดับไฟประเภทนี้ต้องใช้สารดับเพลิงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับไฟโลหะ เช่น ถังดับเพลิงประเภท D
ไฟ CLASS K คือไฟที่เกิดจากน้ำมันและไขมันที่ใช้ในการปรุงอาหาร ไฟประเภทนี้มักพบในห้องครัวที่มีการใช้น้ำมันในการทอดหรือปรุงอาหาร สำหรับวิธีดับเพลิงควรใช้ถังดับเพลิงสูตรน้ำ Low Pressure Water Mist
ไฟไหม้ขั้นต้นระยะนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของการเกิดไฟไหม้ เปลวไฟยังมีขนาดเล็ก มีกลุ่มควันก่อตัวขึ้นจนสังเกตได้ ทั้งนี้หากคุณมีการติดตั้ง Smoke Detector เอาไว้ตัวเครื่องจะช่วยแจ้งเตือนไปถึงคุณเพื่อระงับเหตุอย่างทันการณ์ (อ่านเพิ่ม Smoke Detector คืออะไร) สำหรับไฟไหม้ระยะนี้สามารถดับได้ง่ายด้วยอุปกรณ์ดับเพลิงเบื้องต้น เช่น ถังดับเพลิง
ไฟไหม้ขั้นกลางระยะนี้ไฟลุกลามมากขึ้น เปลวไฟเริ่มใหญ่ขึ้นและอุณหภูมิสูงขึ้น การควบคุมไฟจะมีความยากขึ้นในระดับนึงและต้องใช้อุปกรณ์ดับเพลิงที่มีประสิทธิภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ
ไฟไหม้ขั้นรุนแรงระยะนี้ไฟจะลามอย่างรวดเร็วและมีความรุนแรงสูง ควบคุมเองได้ยาก ต้องใช้นักดับเพลิงมืออาชีพและอุปกรณ์ดับเพลิงขนาดใหญ่เพื่อควบคุมไฟ
ทั้งนี้การเกิดเพลิงไหม้เป็นเหตุการณ์ที่สามารถป้องกันและแจ้งเตือนเหตุตั้งแต่ระยะต้นได้ด้วย “ระบบ Fire Alarm” ก่อนที่ไฟจะลุกลามไปถึงขั้นรุนแรงซึ่งถือเป็นระยะที่ยากจะรักษาบ้านเรือนหรือสิ่งของของคุณไว้ได้
การรู้จักประเภทของไฟและวิธีการดับเพลิงไฟแต่ละแบบอย่างถูกต้อง สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไฟลามและเพิ่มความปลอดภัยให้กับทุกคน นอกจากนี้ การเข้าใจถึงองค์ประกอบที่ทำให้เกิดไฟไหม้และการระมัดระวังในทุกขั้นตอนจะช่วยให้เราสามารถป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ได้ดีขึ้น หากโรงงานหรือบริษัทไหนที่กำลังมองหาระบบสัญญาณเตือนอัคคีภัยคุณภาพสูงที่ตรวจจับได้ทั้งควันและความร้อนเพื่อแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุ สามารถติดต่อ AEG Security Specialist โทร. 02 238 4561 ได้เลย!